แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 40
1
จัดฟันบางนา: เครื่องมือการ จัดฟันแบบใส จากต่างประเทศ กับผลิตในประเทศ ต่างกันอย่างไร ?

การจัดฟันแบบใส Invisalign เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นการจัดฟันที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ของต่างประเทศ เป็นการใช้เครื่องมือจัดฟันที่มีความใสสามารถถอดออกได้ และออกแบบและวางแผนการรักษาในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า Clincheck ซึ่งสามารถแสดงแผนการรักษาออกมาในรูปแบบ 3D โดยเครื่องมือจัดฟันแบบใส สามารถทำให้ฟันของคุณจัดเรียงได้สวยงามเป็นธรรมชาติ ซึ่งการจัดฟันแบบใส ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาจะต้องได้รับการรับรองจากต่างประเทศ ให้ทำการจัดฟันแบบใสได้ รวมไปถึงเครื่องมือการจัดฟันจะต้องส่งตรงมาจากต่างประเทศ ทางทันตแพทย์จะเป็นผู้พิมพ์ฟันและส่งแบบให้ทางสถาบันออกแบบเครื่องมือมาให้ ซึ่งใช้เวลาในการจัดส่งเครื่องมือประมาณ 1 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือจัดฟันนแบบใส ที่ผลิตภายในประเทศก็มี โดยจะใช้การจำลองการเคลื่อนของตัวฟันแบบปูน ทันตแพทย์จะพิมพ์ฟันแล้วส่งแบบพิมพ์ฟันปูนไปให้แลป ผู้ออกแบบจะปรับตำแหน่งฟันในแบบปูน ตามที่ทันตแพทย์กำหนด แล้วนำไปเป็นแบบในการอัดแผ่นพลาสติกใสลงไป เพื่อทำเครื่องมือการจัดฟันแบบใส และส่งมาให้ผู้เข้ารับการรักษา โดยทันตแพทย์จะเป้นผู้คอยให้คำแนะนำ ตลอดการจัดฟัน เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ที่ผลิตภายในประเทศนั้น จะมีราคาที่ไม่สูง เหมือนกับเครื่องมือการจัดฟันที่ผลิตจากต่างประเทศ ที่จะต้องทำการพิมพ์ฟันแล้วส่งแบบไปที่ต่างประเทศ และต้องรอกว่าเครื่องมือจะส่งมาถึงผู้เข้ารับการรักษา ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวัน

สำหรับเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ที่ผลิตจากต่างประเทศ จะมีหลายยี่ห้อ โดยส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการออกแบบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 3D และมีการใช้เครื่องจักรในการผลิต มีต้นทุนที่สูง จึงทำให้มีความปราณีตในการผลิต การใช้เครื่องจักรในการผลิต ทำให้เครื่องมือจัดฟันมีคุณภาพของชิ้นงาน จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย บางยี่ห้อ มีการใช้อุปกรณ์เสริม ทำให้เครื่องมือการจัดฟันส่งผลในเรื่องของการเคลื่อนตัวของฟันที่มีความซับซ้อนได้ดีกว่า สรุปว่า เครื่องมือการจัดฟันแบบใสที่ผลิตจากต่างประเทศ กับเครื่องมือการจัดฟันแบบใสที่ผลิตภายในประเทศ มีความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพของเครื่องมือ และค่าใช้จ่ายที่ต่างกันนั่นเอง

2
จัดฟันบางนา: ตอบข้อสงสัย ! เครื่องมือ จัดฟันแบบใส ใส่แล้วรู้สึกรำคาญไหม ?

การจัดฟันแบบใส เป็นนวัตกรรมการจัดเรียงฟันในรูปแบบใหม่ ที่เป็นที่นิยมมาก มีเอกลักษณ์ก็คือ สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้ ขณะรับประทานอาหารและขณะแปรงฟัน ซึ่งทำให้สะดวกสบายและมีความหลากหลายในการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังทำให้มองเห็นเครื่องมือการจัดฟันแบบใสได้ยากอีกด้วย ทำให้ไม่เสียบุคลิกภาพเวลาพูดคุยอีกด้วย เพราะเมื่อใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสแล้ว ทำให้รู้สึกกระชับเพราะเครื่องมือมีความบาง ใส เป็นแบบครอบตัวฟัน จึงทำให้ไม่รู้สึกระคายเคือง หรือทำให้พูดไม่ชัด และเครื่องมือมีการถอดและใส่ที่ง่าย ไม่ต้องออกแรงในการดึงเครื่องมืออีกด้วย

หลายคนที่กำลังตัดสินใจที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส มีความกังวลว่า ถ้าสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส จะเกิดความรำคาญหรือไม่ หรือเกิดการระคายเคืองหรือไม่ ตอบเลยว่า ไม่ เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใส จะเป็นพอลิเมอร์บางๆ ใสๆ มาใส่ครอบฟันเพื่อปรับโครงสร้าง ตำแหน่ง และการเรียงตัวของฟัน แทนการใส่เหล็กจัดฟันที่เรามักจะเห็นได้ทั่วไป โดยผู้เข้ารับการรักษาจะต้องใส่ตลอดเวลา เป็นประจำอย่างน้อย 20-22 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งจะมีความสะดวกมากกว่าจึงแทบไม่รู้สึกรำคาญหรือระคายเคืองในช่องปากเลย แม้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ เว้นแต่เวลาจะรับประทานอาหารและขณะแปรงฟันผุ้เข้ารับการรักษาจะต้องคอยถอดเครื่องมือออกทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีวินัยมากๆในการใส่เครื่องมือจัดฟัน หากละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ก็อาจจะทำให้การวางแผนและผลการรักษา เกิดความคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งบางกรณีอาจจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในการรักษา ทั้งนี้เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ไม่ทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกรำคาญ

แต่เพียงจะต้องมีวินัยในการใส่เครื่องมืออย่างต่อเนื่อง และต้องทำความสะอาดเครื่องมืออย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดคราบสิ่งสกปรกและการสะสมของเชื้อโรค เพราะอาจจะทำให้ฟันผุ หรือเกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้ ทางคลีนิคเรามีทีมทันตแพทย์คอยให้คำแนะนำในเรื่องของการจัดฟันแบบใส หากมีข้อสงสัยหรือต้องการจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถปรึกษาทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญได้ที่คลีนิค โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

3
หมอออนไลน์: ปวดฟัน ฟันผุ (Dental caries/Tooth decay)

ฟันผุ (แมงกินฟัน ฟันเป็นแมง ฟันเป็นรู ฟันเป็นโพรง) เป็นโรคที่พบได้ประมาณร้อยละ 80 ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่ชอบกินน้ำตาลหรือของหวานและไม่ได้แปรงฟันให้สะอาด

สาเหตุ

เกิดจากการมีเศษอาหารค้างอยู่ตามซอกฟัน หรือมีน้ำตาล (จากอาหารที่กิน) ค้างคาอยู่ในปาก สัมผัสถูกฟันเป็นเวลานาน ทำให้แบคทีเรีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Streptococcus mutans) ที่อยู่บนแผ่นคราบฟัน* ย่อยสลายเศษอาหารพวกแป้งและน้ำตาลให้เกิดเป็นสารกรดซึ่งสามารถกัดกร่อนผิวฟันทีละน้อย จากชั้นเคลือบฟันภายนอกเข้าไปในเนื้อฟัน จนทะลุถึงชั้นโพรงประสาทฟันก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน หรือฟันอักเสบเป็นหนอง

*แผ่นคราบฟัน (dental plaque) หรือแผ่นคราบจุลินทรีย์ เป็นแผ่นคราบบาง ๆ เกาะอยู่ที่ซอกฟัน คอฟัน ร่องฟัน ประกอบด้วยเมือกเหนียวของน้ำลายและเชื้อโรคหลายชนิด ถ้าไม่ได้รับการทำความสะอาด ปล่อยให้แผ่นคราบฟันสะสมพอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นสาเหตุของฟันผุ และเหงือกอักเสบได้


อาการ

ในระยะแรกจะมีอาการปวดเสียวฟันเล็กน้อยเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด

ถ้าฟันผุมากขึ้น อาจมีเศษอาหารติดอยู่ในโพรงทำให้มีกลิ่นปากได้

ถ้าฟันผุจนถึงชั้นโพรงประสาท (ชั้นในสุด) ก็จะทำให้โพรงประสาทอักเสบ มีอาการปวดฟันรุนแรงเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด บางรายอาจมีอาการปวดแปลบ ๆ ซึ่งบ่งบอกตำแหน่งของฟันที่ปวด ถ้าปล่อยไว้จนรากฟันอักเสบเป็นหนองก็จะทำให้มีอาการปวดฟันรุนแรง


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าฟันผุไม่มาก โดยทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่ถ้าฟันผุมาก มีอาการปวดฟันหรือการอักเสบบ่อย ๆ อาจทำให้กินอาหารไม่ได้ ร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอ หรืออาจทำให้เกิดการอักเสบในช่องปาก เช่น คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ เป็นต้น

ถ้ารากฟันเป็นหนองอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามกลายเป็นไซนัสอักเสบ หรือโลหิตเป็นพิษได้

ที่ร้ายแรงคือ อาจทำให้มีการติดเชื้อรุนแรงของเนื้อเยื่อ (cellulitis) บริเวณขากรรไกรและใต้ลิ้น เรียกว่า ลุดวิกแองไจนา (Ludwig’s angina) ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณใต้คางและใต้ขากรรไกร 2 ข้าง ผิวหนังออกสีน้ำตาล มีลักษณะแข็งเป็นดานและกดเจ็บ เนื้อเยื่อใต้ลิ้นที่บวมจะดันลิ้นขึ้นข้างบนและไปข้างหลัง ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ร่วมด้วย ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยจะมีอาการอ้าปาก กลืน และพูดลำบาก และอาจทำให้หายใจลำบาก อาจเสียชีวิตจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจ หรือโลหิตเป็นพิษได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบฟันผุเป็นรู บางรายพบรากฟันอักเสบเป็นหนอง แก้มบวมปูด อาจมีไข้ หรือต่อมน้ำเหลืองในบริเวณคอบวมและปวด

การรักษาโดยแพทย์

ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันหรือถอนฟัน

ขณะที่มีอาการปวด ให้กินยาแก้ปวดระงับชั่วคราว ถ้ามีการอักเสบหรือเป็นหนอง ให้ยาปฏิชีวนะ


การดูแลตนเอง

หากมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน ฟันผุ ควรปรึกษาแพทย์ หรือทันตแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าฟันผุ ควรดูแลรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ และติดตามการรักษากับทันตแพทย์ตามนัด 

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการอมหรือจิบของกินที่มีน้ำตาล (เช่น ทอฟฟี่ ลูกอม น้ำตาล น้ำผึ้ง ของหวาน น้ำหวาน น้ำผลไม้ นม เป็นต้น) ต่อเนื่องนาน ๆ หากกินของเหล่านี้หลังกินควรรีบบ้วนปากทันที อย่าให้มีน้ำตาลตกค้างอยู่ในปาก ผู้ที่ฟันผุง่ายควรลดการกินของเหล่านี้

2. แปรงฟันให้ถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน (dental floss silk) ขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง และหลังกินอาหารทุกครั้งควรบ้วนปากทันที

3. ใช้ฟลูออไรด์ อาจเป็นในรูปของยาเม็ด ยาอมบ้วนปาก หรือยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ถ้าใช้ชนิดกิน ควรปรึกษาทันตแพทย์ถึงขนาดและวิธีการใช้ เพราะถ้าใช้มากไปอาจทำให้ฟันตกกระ หรือกินขนาดสูงมาก ๆ อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ ฟลูออไรด์จะเสริมสร้างผิวเคลือบฟันให้แข็งแรง แต่จะได้ผลดีสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 14 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังเจริญเติบโต

4. ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6-12 เดือน


ข้อแนะนำ

1. อาการปวดฟัน นอกจากสาเหตุจากฟันผุแล้วยังอาจเกิดจากฟันคุด (impacted tooth) ซึ่งหมายถึง ฟันกรามซี่สุดท้าย (ซี่ในสุด) โผล่ขึ้นไม่ได้ เนื่องจากขากรรไกรของคนเราเล็กลง ฟันซี่นี้ปกติจะขึ้นตอนอายุ 17-25 ปี เมื่อขึ้นได้ไม่สุด ทำให้บริเวณนั้นมีซอกให้อาหารติดค้าง เป็นเหตุให้บางครั้งมีการอักเสบ และปวดบวมตรงบริเวณรอบ ๆ ฟันซี่นั้น บางรายอาจมีไข้ขึ้น มักเกิดกับฟันกรามล่างซี่ในสุดทั้ง 2 ข้าง

ถ้าสงสัยควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อถอนออก ระหว่างที่ปวดอาจให้การรักษาเบื้องต้นด้วยยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ

2. ผู้ที่เป็นโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal nerve) ที่เลี้ยงบริเวณใบหน้าและศีรษะ พบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี อาจมีอาการเหมือนปวดเสียวฟัน เนื่องจากถูกกระตุ้นด้วยการแปรงฟัน การเคี้ยวอาหาร หรือการดื่มน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัด จึงอาจไปหาทันตแพทย์ ซึ่งอาจตรวจไม่พบความผิดปกติ หรือหากบังเอิญพบมีความผิดปกติเล็กน้อย (เช่น ฟันผุ) ก็อาจได้รับการทำฟันแล้วอาการปวดไม่ดีขึ้น กรณีเช่นนี้แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ทางระบบประสาท

4
Doctor At Home: คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)

คางทูม เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid glands) พบมากในเด็กอายุ 6-10 ปี มักไม่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี มีอุบัติการณ์สูงในเดือนมกราคมถึงเมษายน และกรกฎาคมถึงกันยายน อาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม paramyxovirus เชื้อจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อแบบเดียวกับไข้หวัด เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและปาก แล้วแบ่งตัวในเซลล์เยื่อบุของทางเดินหายใจส่วนต้น หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือด แพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะต่อมน้ำลายข้างหู

ระยะฟักตัว 2-4 สัปดาห์ (เฉลี่ย 16-18 วัน)

ตำแหน่งของต่อมน้ำลาย
 

อาการ

ที่สำคัญ คือ ขากรรไกรบวม 1-2 ข้าง โดยแรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร บางรายอาจเจ็บคอภายใน 24 ชั่วโมง (บางรายอาจหลายวัน) ต่อมาจะมีอาการปวดที่ข้างแก้มใกล้ใบหูหรือปวดหู ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเวลาพูด เคี้ยว หรือกลืน หรือเวลากินอาหารรสเปรี้ยว เช่น น้ำส้ม มะนาว ต่อมาจะเกิดอาการบวมที่ขากรรไกรบริเวณใต้หูและข้างหู (ทั้งด้านหน้าและหลังหู) ทำให้ใบหูถูกดันขึ้นข้างบน ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดมากขึ้น จนบางครั้งพูด เคี้ยว หรือกลืนลำบาก อาการบวมและปวดจะเป็นมากสุดภายใน 1-3 วัน แล้วค่อย ๆ ลดลง และส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 4-8 วัน บางรายอาจนานถึง 10 วัน ส่วนอาการไข้ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่ 3-4 วัน บางรายอาจเป็นอยู่ประมาณ 1-6 วัน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีขากรรไกรบวมข้างเดียวก่อน ต่อมาอีก 1-2 วัน (บางรายหลายวัน) จึงบวมอีกข้าง ประมาณร้อยละ 25 ของผู้ป่วยจะมีอาการบวมเพียงข้างเดียว

บางรายอาจมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง (submandibular glands) และใต้ลิ้น (sublingual glands) ร่วมด้วย ทำให้มีอาการบวมที่ใต้คาง

บางรายอาจมีขากรรไกรบวมโดยไม่มีอาการอื่น ๆ นำมาก่อน หรืออาจมีเพียงอาการไข้โดยขากรรไกรไม่บวมก็ได้

ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อคางทูมจะไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนน้อยที่อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อคางทูมของเนื้อเยื่อส่วนอื่น ซึ่งอาจแสดงอาการก่อน ขณะ หรือหลังขากรรไกรบวม หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการขากรรไกรบวมก็ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ อัณฑะอักเสบ (orchitis) พบได้ประมาณร้อยละ 30-38 จะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น อัณฑะปวดและบวม (จะปวดมากใน 1-2 วันแรก) มักพบหลังเป็นคางทูม 7-10 วัน แต่อาจพบก่อนหรือพร้อม ๆ กับคางทูมก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียวและน้อยรายที่จะกลายเป็นหมัน มักพบหลังวัยแตกเนื้อหนุ่ม ส่วนใหญ่พบในช่วงอายุ 30-40 ปี ในเด็กอาจพบได้บ้าง แต่น้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก

อาจพบรังไข่อักเสบ (oophoritis) ซึ่งจะมีอาการไข้และปวดท้องน้อย มักพบในวัยแตกเนื้อสาว ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เป็นหมันได้

อาจทำให้แท้งบุตรในกรณีติดเชื้อคางทูมในระยะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

อาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุด มักมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เอง ส่วนสมองอักเสบอาจพบได้บ้างแต่น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม่รุนแรง ส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมอง หรือร้ายแรงถึงตาย

นอกจากนี้ ยังอาจพบตับอ่อนอักเสบ ประสาทหูอักเสบ (อาจทำให้หูตึงหรือสูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวรได้) ไตอักเสบ ต่อมไทรอยด์อักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ข้ออักเสบ ตับอักเสบ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ แต่ล้วนเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้ 38-40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจไม่มีไข้) บริเวณขากรรไกรบวมข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง กดเจ็บ

รูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้ม (บริเวณตรงกับฟันกรามบนซี่ที่ 2) อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย

อาจพบอาการลิ้นบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้ลิ้นอักเสบ) หรือหน้าอกตรงส่วนใต้คอบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้คางบวม)

ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคคางทูมให้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง) เพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อคางทูม การตรวจหาเชื้อคางทูมจากน้ำลาย น้ำไขสันหลัง หรือปัสสาวะ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการขากรรไกรบวม มีประวัติ (เช่น การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นคางทูม) และอาการ (มีไข้ ปวดขากรรไกรมาก่อน) เข้าได้กับโรคคางทูม โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ให้การรักษาตามอาการโดยไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ แนะนำให้ผู้ป่วยนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ เช็ดตัวเวลามีไข้สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบ ถ้าปวดมากใช้กระเป๋าน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ

ในช่วงที่ขากรรไกรบวมหรือปวดมาก หรืออ้าปากลำบาก แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อนหรือที่เคี้ยวง่าย

ถ้าไข้ไม่สูงหรือไม่มีไข้ ไม่ต้องให้ยา ถ้าไข้สูงให้พาราเซตามอล ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม

2. ถ้ามีอัณฑะอักเสบ ให้ประคบด้วยน้ำแข็ง ให้ยาลดไข้แก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

ในรายที่อักเสบรุนแรงหรือให้ยาลดไข้แก้ปวดแล้วไม่ทุเลา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ลดการอักเสบ เช่น ให้เพร็ดนิโซโลน

3. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก คอแข็ง ชัก หรือซึมไม่ค่อยรู้สึกตัว แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นคางทูม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว
    กินอาหารตามปกติหรืออาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก)
    ใช้น้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นคางทูม
    ถ้ามีไข้สูง หรือปวด กินยาลดไข้แก้ปวด - พาราเซตามอล* (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)  (ดู โรคเรย์ซินโดรม)

2. ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ไม่ค่อยรู้สึกตัว ปวดศีรษะมาก อัณฑะปวดและบวม ปวดท้องนานเป็นชั่วโมง ๆ เจ็บหน้าอกมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    มีอาการเหงือกอักเสบ
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    อาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

1. การฉีดวัคซีนป้องกัน แนะนำให้ฉีดวัคซีนรวมป้องกันหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กทุกคน โดยฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี

2. ในช่วงที่มีการระบาดหรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้เกิดจากไวรัส ถือเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องฉีดยาหรือให้ยาจำเพาะแต่อย่างใด การที่ชาวบ้านในสมัยก่อนหรือบางคนนิยมเขียน “เสือ” ด้วยตัวหนังสือจีนที่แก้มทั้ง 2 ข้าง หรือใช้ปูนแดงหรือครามป้ายแล้วหายได้นั้นก็เพราะเหตุนี้

2. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก อย่าให้คลุกคลีกับคนอื่น จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อ (ระยะติดต่อตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการจนกระทั่ง 9 วัน หลังมีอาการ)

3. ควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ หากสงสัยควรส่งไปตรวจที่โรงพยาบาล

4. เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่เป็นซ้ำอีก

5. อาการคางบวม อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้ ควรซักถามอาการและตรวจร่างกายให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจดูภายในปากและลำคอ (ตรวจอาการ คางบวม/คอบวม ประกอบ) และถ้าให้การดูแลรักษาตามอาการ 1 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา ก็ควรค้นหาสาเหตุอื่นต่อไป เช่น เมลิออยโดซิส ต่อมน้ำลายอักเสบ*

6. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

* ต่อมน้ำลายอักเสบ (parotitis) มักมีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม ๆ ที่มุมขากรรไกร หรือใต้คางอย่างเรื้อรัง อาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชักนำชัดเจนก็ได้ บางรายอาจพบว่ามีภาวะอุดกั้นของท่อน้ำลายจากก้อนนิ่ว  เนื้องอก  หรือท่อน้ำลายตีบ  หากพบควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้อง

5
งานมอเตอร์เอ็กซ์โปร์ 2025 MG ZS Hybrid+ ปรับหน้าใหม่ พร้อมเครื่องไฮบริดสุดประหยัด เริ่ม 9.8 แสนบาท

เปิดตัว 2025 MG ZS Hybrid+ รถ B-SUV ยอดนิยมของค่ายสัญชาติอังกฤษ มาพร้อมหน้าตาใหม่ทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงขุมพลังไฮบริดใหม่ที่ให้ความประหยัดมากขึ้น
 

ภายนอกดีไซน์ใหม่
 
สำหรับในภาพรวม ZS ใหม่มาพร้อมดีไซน์ด้านหน้าแบบใหม่ที่ประกอบด้วยช่องรับลมรูปวงรีขนาดใหญ่ลายรังผึ้ง พร้อมชุดไฟหน้า LED พร้อมดีไซน์เส้นนอนต่อเนื่องเต็มความกว้างของรถที่คล้ายกับ MG VS
 
ตั้งแต่บริเวณชายด้านหน้าไปจนถึงด้านข้าง ถูกตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำสไตล์ครอสโอเวอร์ ด้านข้างของรถเราจะเห็น shoulder line เป็นแนวเส้นตรงที่จะยกขึ้นบริเวณท้ายรถ ตัวรถยังมีส่วนกระจกที่กว้างขวาง และมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
 

ภายใน 2025 MG ZS Hybrid+ ที่คล้าย Urus
 
ภายในดีไซน์ใหม่เช่นกัน
 
สำหรับดีไซน์ภายในถูกออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด มาพร้อมเส้นแนวนอนที่ให้ความมินิมอลดูเรียบหรูมากกว่าเดิม ผู้ขับขี่จะมีมาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ส่วนตรงกลางจะเป็นหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 12.3 นิ้วพร้อมระบบนำทาง GPS รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบเสียงลำโพง 6 ตำแหน่ง, และเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีดำ
 

2025 MG ZS ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือขับขี่ (ADAS) ในชื่อ MG Pilot suite มาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วย ระบบ adaptive cruise control, ระบบป้องกันการออกนอกเลน, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน รวมถึงระบบช่วยเบรคฉุกเฉินแบบแอคทีฟ พร้อมการตรวจสอบคนเดินและคนขี่จักรยาน
 
ขณะเดียวกันก็มีระบบ blind spot detection, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบเตือนการชนด้านหลัง และ traffic jam assist
 
กระจังหน้าวงรีขนาดใหญ่ MG ZS Hybrid+
 
รุ่นท็อปให้ครบ ๆ เลย
 
สำหรับสเปคที่จำหน่ายในอังกฤษจะมีรุ่นท็อปที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกราว 2,500 ปอนด์ (ราว 1 แสนบาท) ในรุ่น Trophy ซึ่งจะได้ออพชั่นสุดพรีเมียม ได้แก่ privacy glass, กล้อง 360 องศา, ล้อขนาด 18 นิ้ว, ระบบอุ่นเบาะคู่หน้า, ระบบอุ่นพวงมาลัย, เบาะคนขับปรับไฟฟ้า และเบาะหุ้มผ้าผสมหนัง
 
 
ขุมพลังเดียวกันกับ MG 3 Hybrid+
 
ระบบส่งกำลังของ MG ZS Hybrid+ ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร, แบตเตอรี่ความจุ 1.83 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า (hp) แรงบิด 250 นิวตันเมตร
 
ทั้งสองระบบรวมกันให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.7 วินาที ให้อัตราประหยัดเชื้อเพลิงแบบผสม (combined) ที่ 23.5 กม./ลิตร
 
โดยเครื่องยนต์ไฮบริดใหม่นี้คาดว่าเป็นตัวเดียวกับ MG3 Hybrid+ ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเรา ซึ่งเราได้อธิบายหลักการทำงานไว้ในบทความนี้แล้ว
 
 
เริ่ม 9.87 แสนบาท
 
2025 MG ZS Hybrid+ พร้อมจำหน่ายในสหราชอาณาจักรตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 เป็นต้นไป โดยมีราคาเริ่มต้น 21,995 ปอนด์ หรือราว 9.87 แสนบาท สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมคาดว่าจะมีการเปิดเผยอีกครั้งในช่วงใกล้เปิดตัว
 

6
เปิดตัว รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Ariya NISMO ในยุโรป SUV ไฟฟ้า พร้อมความแรง และการขับขี่ที่ดีกว่า

Nissan เปิดตัว Ariya NISMO เอสยูวีไฟฟ้า สำหรับตลาดยุโรปอย่างเป็นทางการ ในงาน World EV Day เป็นการกลับมาสู่ยุโรปอีกครั้งของรถสำนัก NISMO ที่นอกจากพละกำลังที่มากกว่าแล้ว ยังผสานความยั่งยืนเข้ามาอย่างลงตัว

 
แรงกว่าเดิมไม่มาก เน้นขับขี่ดีขึ้น
 
Ariya NISMO ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 429 แรงม้า (320 kW) พร้อมแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5 วินาที ส่วนอัตราเร่ง 80-120 กม./ชม. ภายใน 2.4 วินาทีเท่านั้น ถือว่าเกินพอทั้งตีนต้นและความเร็วเดินทาง
 
ทั้งหมดนี้จับคู่กับแบตเตอรี่ความจุ 91 kWh ซึ่งให้ระยะทางขับขี่ที่เพียงพอต่อการขับขี่ในชีวิตประจำวันและการเดินทางต่างจังหวัดย่อม ๆ ได้ แบตเตอรี่ของ Ariya NISMO รองรับการชาร์จ AC ความเร็วสูงสุด 22 kW ส่วนการชาร์จเร็วแบบ DC รองรับความเร็วสูงสุด 130 kW โดยสามารถชาร์จจากแบตเตอรี่ 20-80% ได้ภายใน 30 นาที

 
นอกจากสมรรถนะแล้ว ตรา NISMO แสดงถึงการอัพเกรดอีกหลายอย่างเพื่อการขับขี่ที่ดีที่สุด Nissan ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ว่า การปรับปรุงนั้นเริ่มจากการเพิ่ม turning force และ lateral force ซึ่งเป็นแรงกระทำขณะเลี้ยวให้ดีขึ้น โดยดีขึ้นกว่า GT-R NISMO เลยทีเดียว
 
ส่วนช่วงล่างก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ ปรับปรุงแชสซีให้สมดุล และปรับปรุงพวงมาลัยให้ตอบสนองต่อความเร็วได้ดียิ่งขึ้น คล้ายรถสปอร์ต รวมถึงล้ออัลลอยน้ำหนักเบา ENKEI “MAT Process” ขนาด 20 นิ้ว ซึ่งช่วยทั้งความลู่ลมและการระบายความร้อนเบรค รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport EV
 
อย่างไรก็ตาม Ariya NISMO ก็ไม่ได้แรงกว่า Ariya e-4ORCE รุ่นปกติเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว Ariya NISMO ทำ 0-100 กม./ชม. ได้เร็วกว่า e-4ORCE เพียง 0.1 วินาทีเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้มากกกว่าสมรรถนะนั่นคือ การปรับปรุงช่วงล่างใหม่ ที่จะให้ประสบการณ์ขับขี่ที่ดีขึ้นกว่ารุ่นปกติ
 

ภายนอกสไตล์ NISMO
 
สำหรับดีไซน์ของ Ariya นั้นมีความลู่ลมอยู่เป็นทุนเดิม เสริมชุดแต่งที่ประกอบด้วย ครีบรีดอากาศ, สเกิร์ตหน้าที่เตี้ยกว่าเดิม, และสปอยเลอร์หลัง ส่งผลให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศดีขึ้นเมื่อเทียบกับ Ariya รุ่นปกติ ซึ่งเพิ่มดาวน์ฟอร์ซและเสถียรภาพของรถขณะใช้ความเร็วสูง โดย Nissan ระบุว่า ชุดแต่งเหล่านี้จะช่วยให้รถลู่ลมขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นปกติ
 

ภายในเสริมความสปอร์ต
 
ดีไซน์ภายในของ Ariya NISMO จะเสริมความสปอร์ตเพิ่มเข้ามาจากรุ่นปกติ เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังกลับรองรับสรีระได้ดี มีการเย็บตะเข็บที่พวงมาลัยรวมถึงการเน้นสีแดงที่ห้องโดยสาร ซึ่งช่วยเพิ่มกลิ่นอายของ NISMO นอกจากนี้ยังมีลายไม้สีดำซึ่งช่วยเพิ่มความหรูหราและทันสมัยเข้ามาอีกด้วย
 
Ariya NISMO มาพร้อมสีภายนอกทั้งหมด 4 สี ซึ่งรวมถึงสีเทา NISMO Stealth Grey พร้อมหลังคาดำอย่างในภาพนี้ โดยทุกสีมาพร้อมการตกแต่งสีแดงที่ชายล่างของรถรอบคัน ซึ่งช่วยให้รถมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
 
Nissan Ariya NISMO จะพร้อมจำหน่ายในยุโรปตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 เป็นต้นไป โดยราคาจะเปิดเผยในภายหลัง

7
โรคมะเร็งสมอง (Brain Cancer)

มะเร็งสมอง (Brain Cancer) คือโรคที่เกิดจากเนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายบริเวณสมอง สามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเกิดขึ้นเองที่เนื้อเยื่อสมองหรือจากการลุกลามของมะเร็งจากอวัยวะอื่น ทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปัญหาด้านการทรงตัว ความคิด การพูด และการมองเห็น เซลล์มะเร็งอาจลุกลามได้อย่างรวดเร็วและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคมะเร็งสมอง แต่ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การสัมผัสสารเคมี การสูบบุหรี่ หรือประวัติการเป็นมะเร็งของสมาชิกในครอบครัว อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งสมองได้ การรักษามะเร็งสมองจะขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของอาการ โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง และป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งใหม่ เช่น เคมีบำบัด การฉายแสง และการผ่าตัดนำมะเร็งออก


อาการของมะเร็งสมอง

อาการของโรคมะเร็งสมองจะขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งที่พบของเนื้องอก โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เป็นโรคมะเร็งสมองอาจมีอาการดังต่อไปนี้

    ปวดศีรษะ โดยจะมีอาการรุนแรงในตอนเช้า ขณะไอหรือกิจกรรมอื่นที่ทำให้เกิดการเกร็งศีรษะ
    คลื่นไส้ อาเจียน
    ชาและอ่อนแรงบริเวณแขนและขา มีปัญหาการทรงตัว หรือเดินลำบาก
    กล้ามเนื้อกระตุก
    มีปัญหาทางความคิด สติปัญญา อารมณ์ หรือสูญเสียความทรงจำ
    มีปัญหาในการพูด และการมองเห็น
    มีปัญหาบุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
    เซื่องซึม
    ชัก
    เป็นลมหมดสติ

อาการที่พบอาจมีสาเหตุหรือเป็นผลข้างเคียงมาจากความผิดปกติอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งสมองก็ได้ แต่หากอาการเหล่านี้ไม่หายไป ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีอาการอาเจียนบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มองเห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด โดยเฉพาะที่ตาข้างใดข้างหนึ่ง ง่วงซึม หรือง่วงนอนอย่างผิดปกติ และปวดศีรษะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน


สาเหตุของมะเร็งสมอง

มะเร็งสมองเป็นเนื้องอกอันตรายที่มีการเจริญเติบโตของเซลล์ในลักษณะที่ผิดปกติ หรือที่เรียกว่า เซลล์มะเร็ง (Malignant Brain Tumors) โดยอาศัยเลือดและสารอาหารจากร่างกายไปหล่อเลี้ยง เซลล์มะเร็งอาจเกิดขึ้นที่บริเวณสมองเอง (Primary Brain Tumors) หรือเกิดจากมะเร็งที่ลุกลามหรือกระจายมาจากอวัยวะอื่น (Secondary/Metastic Brain Tumors) เช่น ปอด เต้านม ไต ลำไส้ใหญ่ หรือผิวหนัง

เนื้องอกที่มีเซลล์มะเร็งจะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว สามารถแพร่กระจายและทำลายเนื้อเยื่อดีในบริเวณรอบข้าง มีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกถึงแม้เคยผ่านการรักษามาแล้ว และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่ามะเร็งสมองเกิดจากสาเหตุใด มีเพียงปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสมองได้ เช่น

    อายุที่เพิ่มมากขึ้น
    พฤติกรรมการสูบบุหรี่เป็นเวลานาน
    มีประวัติการเกิดโรคมะเร็งสมองกับสมาชิกในครอบครัว
    เป็นโรคมะเร็งในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่สามารถแพร่กระจายมายังสมองได้ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา (Melanoma)
    การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV)
    การสัมผัสสารกัมมันตภาพรังสี สารเคมี รวมถึงยากำจัดศัตรูพืชที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
    การทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เช่น พลาสติก ตะกั่ว ยาง น้ำมัน รวมถึงสิ่งทอบางชนิด


การวินิจฉัยมะเร็งสมอง

สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งสมองได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยแพทย์จะมีแนวทางการวินิจฉัยดังต่อไปนี้
การทดสอบทางระบบประสาท (Neurological Examination)

การทดสอบทางระบบประสาทไม่ใช่การตรวจหาก้อนเนื้อร้ายโดยตรง แต่เป็นการตรวจสมองส่วนต่าง ๆ เพื่อดูการทำงานของสมอง โดยจะทดสอบการมองเห็น การได้ยิน ความสามารถในการทรงตัว ความแข็งแรงและการตอบสนองของร่างกาย ซึ่งช่วยให้แพทย์ทราบว่าสมองส่วนใดองผู้ป่วยที่เกิดผลกระทบจากเนื้อร้าย


การตรวจโดยใช้ภาพ (Imaging Test)

การตรวจมะเร็งสมองโดยใช้ภาพ เช่น

    การตรวจบริเวณศีรษะด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) มักเป็นวิธีตรวจแรกที่นิยมใช้เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะหรืออาการอื่นที่เข้าข่ายมะเร็งสมอง ช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติในสมองและบริเวณใกล้เคียง
    การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หากตรวจซีที สแกนแล้วพบว่าผู้ป่วยมีก้อนเนื้ออยู่ในสมองแพทย์อาจให้ตรวจเอ็มอาร์ไอ เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น
    การตรวจความเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี (PET Scan) เพื่อหาตำแหน่งของเนื้อร้าย โดยการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อให้เครื่องสแกนสามาถแสดงภาพความผิดปกติที่เกิดขึ้นในเซลล์ของผู้ป่วยได้


การตัดชิ้นเนื้อตรวจ (Biopsy)

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจยังห้องปฎิบัติการสามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธีคือ

    การผ่าตัดเปิดกะโหลก (Craniotomy) เป็นการผ่าตัดแบบดั้งเดิมที่แพทย์จะผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะผู้ป่วย และตัดชิ้นเนื้อที่ผิดปกติ เพื่อนำส่งตรวจยังห้องปฏิบัติการ

    การเก็บชิ้นเนื้อไปตรวจด้วยระบบนำวิถี (Stereotaxis) แพทย์จะใช้ภาพจากการทำซีทีสแกน หรือเอ็มอาร์ไอเป็นตัวบอกตำแหน่งที่ชัดเจน จากนั้นทำการเจาะรูเล็กที่กะโหลกแล้วใช้เข็มสอดเข้าไปเก็บตัวอย่างเนื้องอก แล้วส่งให้นักพยาธิวิทยาตรวจสอบหาเซลล์มะเร็งต่อไป

นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้การทดสอบอื่น ๆ ตรวจหาเซลล์มะเร็ง เช่น การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) และการตรวจต่อมไร้ท่อเพื่อดูการทำงานของฮอร์โมน


การรักษามะเร็งสมอง

การรักษาโรคมะเร็งสมองของผู้ป่วยแต่ละคนอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภท ขนาด และตำแหน่งของเนื้อร้าย รวมไปถึงอายุและปัญหาหรือปัจจัยอื่น ๆ ของผู้ป่วย โดยวิธีการรักษามีดังนี้


การผ่าตัด

การผ่าตัดสมองเป็นวิธีรักษาหลักที่ใช้กำจัดเนื้องอกที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็ง โดยวิธีผ่าตัดที่นิยมใช้รักษามะเร็งสมองคือการเปิดกะโหลกศีรษะ เพื่อนำชิ้นเนื้อมะเร็งออกทั้งหมดหรือบางส่วน


การรักษาด้วยรังสี (Radiation Therapy)

การฉายแสงที่มีพลังงานสูงเพื่อทำลาย ลดการขยายตัว และหยุดการเจริญเติบโตของเนื้อร้ายจะใช้ในผู้ที่ไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้ เช่น เนื้อร้ายอยู่ในตำแหน่งที่ยากต่อการผ่าตัด หรือใช้หลังการผ่าตัดที่ยังคงหลงเหลือเซลล์มะเร็งอยู่ การรักษาด้วยรังสีสามารถทำได้ด้วยกันหลายวิธี เช่น

    External Radiation คือการฉายรังสีที่มีพลังงานสูงผ่านชั้นผิวหนัง กะโหลก เซลล์สมอง ไปยังตำแหน่งของเนื้อร้าย โดยจะทำประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้เวลาไม่นานต่อหนึ่งครั้ง
    Stereotactic Radiosurgery คือการทำลายเนื้อร้ายโดยการใช้รังสีที่มีพลังงานสูงจากหลายทิศทางด้วยความแม่นยำ โดยทำหลังจากมีการระบุตำแหน่งที่ชัดเจน ซึ่งทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและใช้เวลาในการพักฟื้นน้อยกว่า


การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)

เคมีบำบัดหรือที่เรียกว่าการทำคีโม คือการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งสมอง และช่วยให้ก้อนเนื้อมีขนาดเล็กลง โดยอาจเป็นยา 1 ชนิดหรืออาจใช้ยาร่วมกัน 2 ชนิดขึ้นไปในการรักษา สามารถให้ได้ทั้งทางเส้นเลือดหรือรับประทาน จะใช้ยาเป็นรอบ ๆ โดยจะเว้นระยะให้ผู้ป่วยได้พักฟื้น และดูการตอบสนองต่อการรักษา

การทำเคมีบำบัดสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นแผลในปาก เบื่ออาหาร ผมร่วง
การให้ยาอื่น ๆ

แพทย์อาจให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันในการกำจัดเซลล์มะเร็ง และการรักษาแบบมุ่งเป้า (Target Therapy) ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์เจาะจงไปยังเซลล์มะเร็ง ช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และทำให้เซลล์มะเร็งยุบลง

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้ยาอื่น ๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการและผลข้างเคียงที่เกิดจากเซลล์มะเร็งหรือเกิดจากกระบวนการรักษาสมอง ได้แก่ ยากลุ่มสเตียรอยด์ เช่น เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) เพื่อลดอาการบวมของสมอง หรือยากันชักในผู้ป่วยบางราย

การบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย

ผู้ป่วยบางรายอาจมีความจำเป็นต้องฟื้นฟูร่างกายหลังเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งสมอง เนื่องจากสมองอาจได้รับผลกระทบหรือเกิดความเสียหายจากเซลล์มะเร็ง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพูด การเดิน หรือการปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการฟื้นฟู เช่น กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และการบำบัดการพูด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ และรับประทานอาหารเสริม เพื่อชดเชยสารอาหารที่สูญเสียไปในระหว่างการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์
ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งสมอง

ภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็งสมองสามารถเกิดขึ้นได้ตัวโรคมะเร็งเอง เช่น

    กลืนลำบาก (Dysphagia) น้ำหนักลด
    ปวดกะโหลกศีรษะ ซี่โครง และหลัง
    มีอาการบวมผิดปกติ ใบหน้าและศีรษะผิดรูป
    การเคลื่อนไหวผิดปกติ
    ชัก
    เนื้องอกมีเลือดออกเฉียบพลัน
    เกิดภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง เนื่องจากการสะสมของน้ำหรือน้ำไขสันหลังในกะโหลก ทำให้เกิดการกดทับสมองและทำลายเนื้อสมอง และอาจทำให้เสียชีวิตได้
    ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นกะทันหันจากการเคลื่อนของสมอง อาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต
    ภาวะซึมเศร้า และอาการผิดปกติด้านอารมณ์

นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจพบผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น การทำคีโมอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง การฉายรังสีอาจทำให้อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หนังศีรษะระคายเคือง และการผ่าตัดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ มีเลือดออกหรือลิ่มเลือด และเกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อสมองบริเวณใกล้เคียงได้


การป้องกันมะเร็งสมอง

ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งสมองได้โดยตรง แต่การปรับพฤติกรรม โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งสมอง อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสมองได้ เช่น

    ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อเอชไอวี โดยการสวมถุงยางอนามัย ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย และตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
    หลีกสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เช่น ยาฆ่าแมลง สารเคมี สารกัมมันตภาพรังสี และการฉายแสง
    ลดพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
    รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักโขม และถั่วต่าง ๆ
    นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด

หากพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณของมะเร็งสมอง รวมถึงผู้ที่มีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นเนื้องอกในสมอง หรือโรคทางพันธุกรรมใด ๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งสมอง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรอง แม้จะไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งสมองโดยตรง แต่หากตรวจพบเซลล์มะเร็งแต่เนิ่น ๆ ขณะที่เซลล์ยังมีขนาดเล็กและยังไม่ลุกลาม อาจทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

8
สัญญาณเตือนโรคไต พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเลี่ยง !

ไต อวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายที่มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วเหลือง จะอยู่บริเวณกระดูกชายโครงทั้ง 2 ข้าง มีหน้าที่ในการขับของเสียที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ รวมไปถึงมีหน้าที่ในการรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ สร้างสารที่มาควบคุมความดันเลือด และกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้น ไต จึงเป็นอวัยวะอีกหนึ่งส่วนที่มีความสำคัญ ที่จะต้องได้รับการดูแลทั้งเรื่องอาหารและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้การทำงานของไตนั้นมีประสิทธิภาพลดลงจนไตล้มเหลวได้ ดังนั้นควรสังเกตุ สัญญาณเตือนโรคไต ให้ดี

สัญญาณเตือนโรคไตรู้ก่อนรักษาก่อน

สัญญาณเตือนโรคไต คือ ปัสสาวะผิดปกติ เบื่ออาหาร เหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ใบหน้าซีด ปวดหลังหรือบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่ง เป็นอาการเสี่ยงโรค ไต ที่สุด
สัญญาณเตือนโรคไต ระยะเริ่มต้น

    ปัสสาวะเป็นเลือด
    ปัสสาวะเป็นฟอง
    ปัสสาวะช่วงกลางคืนบ่อยครั้ง
    อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
    มีอาการบวมบนใบหน้าและเท้า
    เบื่ออาหาร
    มีอาการขมปาก ขมคอ ไม่สามารถรับประทานอาหารได้

สัญญาณเตือนโรคไต คือ ปัสสาวะผิดปกติ เบื่ออาหาร เหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ใบหน้าซีด ปวดหลังหรือบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่ง เป็นอาการเสี่ยงโรค ไต ที่สุด
พฤติกรรมเสี่ยงเป็น โรคไต

1.    รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง

อาหารที่มีโซเดียมสูงเกินไปนอกจากจะมีผลต่อการทำงานของไตแล้วยังส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดสมองแตก


2.    รับประทานอาหารสำเร็จรูป

อาหารสำเร็จรูปหรืออาหารกระป๋อง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนใหญ่จะมีปริมาณโซเดียมมากกว่าปกติทำให้มีความเสี่ยงต่อการทำงานของไต


3.    ดื่มน้ำน้อย

การดื่มน้ำน้อยทำให้ปัสสาวะมีสีที่เข้มมากขึ้นส่งผลให้ร่างกายมีภาวะขาดน้ำจนทำให้ไตต้องทำงานหนัก อาจเสี่ยงภาวะไตวายและโรคระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น


4.    น้ำหนักมากเกินไป

ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักมากจนเกินไปก่อให้เกิดโรคอ้วนซึ่งจะมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ป่วยที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคไต


5.    ซื้อยารับประทานเอง

การซื้อยามารับประทานเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายจากร้านขายยาไม่ว่าจะเป็นยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพรบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดโรคไตได้ จำเป็นต้องมีการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาทุกครั้งโดยเฉพาะการกินต่อเนื่อง


6.    ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว

ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ต่อเนื่องอาจมีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคไตตามมาได้


ไตวายเรื้อรัง จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น ?

สัญญาณเตือนโรคไต คือ ปัสสาวะผิดปกติ เบื่ออาหาร เหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ใบหน้าซีด ปวดหลังหรือบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่ง เป็นอาการเสี่ยงโรค ไต ที่สุด


วิธีป้องกันโรคไตเบื้องต้น

    ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
    หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรือขนมขบเคี้ยว
    หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด หวานจัด
    ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
    หลีกเลี่ยงการรับประทานยาติดต่อกันนาน ๆ โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้อักเสบแก้ปวด
    ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยา
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

โรคไต ในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการแสดงออกมาให้เห็น แต่ไม่ควรมองข้ามหากมีความเสี่ยงหรือพฤติกรรมที่เคยชินที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไต เช่น รับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีโรคประจำตัว ดังนั้นเพื่อป้องกันสุขภาพการทำงานของไตจึงต้องมีการตรวจสุขภาพประจำปีหาความเสี่ยงของโรคไตในระยะเริ่มต้นเพื่อให้รักษาได้ทันท่วงทีและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง

9
มือถือ Iphone แอปเปิล APPLE iPhone16 (256GB)
33,900 บาท 

แอปเปิล APPLE iPhone16 (256GB)
ควบคุมเต็มตัวด้วยตัวควบคุมกล้อง แตะๆ ซูมๆ คลิกๆ เสร็จ
ระบบกล้องใหม่ มองไกลๆ ก็สวย มองใกล้ๆ ก็สมบูรณ์แบบ
กล้องอัลตร้าไวด์ โฟกัสได้ตั้งแต่สิ่งเล็กๆ ไปจนถึงภาพใหญ่
การจับภาพเชิงมิติพื้นที่ เปิดมิติใหม่ให้รูปภาพและวิดีโอของคุณ
ชิป A18 เร็วสุดแรง ฉลาดสุดล้ำ
แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นไปอีก เผลอๆ แบตตัวคุณเอง จะหมดก่อนด้วยซ้ำ
ดีไซน์ที่ทนทาน ใครบอกว่าความสวยจะไม่อยู่ยงคงกระพัน
ปุ่มแอ็คชั่น ทำได้มากขึ้น รอน้อยลง
iOS 18 ใส่ตัวตน ใส่สไตล์ ใส่เสน่ห์

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น           แอปเปิล APPLE iPhone16 (256GB)
   ราคากลาง          33,900 บาท
   จำนวนซิม
   แบบดีไซน์         จอสัมผัส
   สี                ดำ, ขาว, ชมพู, เขียว(อมฟ้า), น้ำเงิน(อัลตร้ามารีน)
   ความถี่-เครือข่าย
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก            ยาว 147.6 x กว้าง 71.6 x หนา 7.8 มม., น้ำหนัก 170 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)   256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ     N/A

จอแสดงผล
   ชนิดจอ          จอสัมผัส (Super Retina XDR OLED)
   ความละเอียด      6.1 นิ้ว, 1,179 x 2,556 px
   รายละเอียดอื่น     กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด             กล้องหลัง (48 Mpx), กล้องหน้า (12 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                     -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)       A18
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)  5?core
   หน่วยความจำ (RAM)         0.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก         USB(USB‑C 2), Bluetooth(5.3), NFC, Wi-Fi(7)
   ระบบรับส่งข้อความ            -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต         3G, WiFi, 4G, 5G

10
รีวิวบ้านใหม่ 2024: CMC นำร่องโครงการแนวราบย่านบางใหญ่ เปิดทาวน์โฮมหน้ากว้าง ชาโตว์ วิลเลจ เวสต์เกต-บ้านกล้วย

นางสาวอนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC เผยว่า บริษัทเดินหน้าเปิดทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ ชาโตว์ วิลเลจ เวสต์เกต-บ้านกล้วย (Chateau Village Westgate - Baan Kluay) โครงการแนวราบแห่งแรกในย่านบางใหญ่ของ CMC โครงการได้รับการออกแบบภายใต้ Key word ของคำว่า "บ้านกว้าง" ด้วยสีสัน และดีไซน์ที่มีความหลากหลาย ชัดเจนในสไตล์ New York Loft เชื่อมโยงกับรูปแบบของสถาปัตยกรรมของโครงการ อาทิ Clubhouse, Play Ground ให้เป็นพื้นที่สำหรับเด็กและครอบครัว ส่งเสริมพัฒนาการอย่างไม่สิ้นสุด

ผสมผสานความ Classic และ Modern Loft เรียบง่ายแต่ยังคงความหรูหราในคราวเดียวกัน  รวมถึงการออกแบบบ้านพักอาศัยให้เพดานสูงขึ้น 2.90 เมตร ทำให้รู้สึก โล่ง โปร่งสบาย กับพื้นที่ใช้สอยได้ประโยชน์สูงสุด ให้ได้มากกว่าคำว่า "บ้าน" ใส่ใจทุกฟังก์ชันการใช้งานเพื่อเติมเต็มชีวิตได้อย่างลงตัว พร้อม Play Ground สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง Pet Zone พร้อมให้คุณ "เริ่มต้นชีวิตบทใหม่บนความสุขที่กว้างกว่าใคร"
 
ชาโตว์ วิลเลจ เวสต์เกต-บ้านกล้วย (Chateau Village Westgate - Baan Kluay) พื้นที่โครงการ 13  ไร่ 1 งาน 13.5 ตร.ว ประกอบด้วย บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 14 ยูนิต และ ทาวน์โฮม 2 ชั้น จำนวน 147 ยูนิต  รวม 161 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท สำหรับทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาดพื้นที่เริ่ม 17.52-20.20 ตร.ว พื้นที่ใช้สอย 110 ตร.ม. หน้ากว้าง 5.7 เมตร โดดเด่นด้วยฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ  และ 1 ห้องอเนกประสงค์ สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่การใช้สอย ตามบริบทการใช้ชีวิตของแต่ละวัยได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะปรับเป็น ห้องทำงาน, ห้องนอนผู้สูงวัย, ห้องสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือ Entertainment Room  ก็สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ  บ้านหน้ากว้างทำให้ดูโล่ง โปร่งสบาย ถนนภายในโครงการกว้าง 12 เมตร พร้อมทำกิจกรรม Outdoor ได้อย่างมีคุณภาพ  ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท พร้อมเปิดจองและชมบ้านจริง ตั้งแต่ ก.ค 2567 และทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้

โครงการ ชาโตว์ วิลเลจ เวสต์เกต-บ้านกล้วย (Chateau Village Westgate - Baan Kluay) คำนึงถึงการอยู่อาศัยในปัจจุบันมากที่สุด จึงพิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุภายในบ้าน อาทิ โครงสร้างบันไดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความแข็งแรง ลดการสั่นสะเทือนได้ดี มีราวบันไดจับทรงตัว ตลอดแนวขาขึ้นและขาลงเพื่อการอยู่อาศัยที่ปลอดภัย, ลงเสาเข็มขนาดเท่าตัวบ้านทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ทำให้โครงสร้างมีความมั่นคง แข็งแรง  ใส่ใจขั้นตอนตั้งแต่แรกเพื่อลดการทรุดตัวของหน้าบ้านและหลังบ้าน เลือกใช้บานประตูและหน้าต่างบานใหญ่กว้างเต็มพื้นที่


จึงระบายอากาศได้ดี และป้องกันความร้อนในตัวบ้าน,  จัดเตรียมถังเก็บน้ำวัสดุพรีเมียมขนาดใหญ่ 1,000 ลิตร พร้อมปั๊มน้ำบิวท์อินที่ติดตั้งบนถังช่วยเก็บเสียงและประหยัดพื้นที่ใช้สอย, หลังคาเย็นสบาย มีแผ่นฉนวนสะท้อนความร้อน, ถังขยะฝังผนัง พร้อมฝาปิดมิดชิด เพื่อสุขภาพอนามัยสูงสุด, เลือกใช้สุขภัณฑ์จาก Cotto เทคโนโลยีสุดล้ำจาก SCG ทั้งหลัง, ใช้กระเบื้องเกรดพรีเมี่ยม ที่สถาปนิกทั่วโลกยอมรับ, มีระบบท่อน้ำยากำจัดปลวก, มิเตอร์ไฟฟ้า 30/100 รองรับระบบชาร์จรถยนต์ EV, ออกแบบรั้วหน้าบ้านให้สามารถเปิดออกไปได้กว้าง สะดวกเมื่อนำรถเข้าจอด

ด้านความปลอดภัย อีกปัจจัยในการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งโครงการ ชาโตว์ วิลเลจ เวสต์เกต-บ้านกล้วย (Chateau Village Westgate - Baan Kluay) เลือกใช้เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเข้ามาสอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้อาศัยในปัจจุบัน อาทิ ระบบ Key Card Access บริเวณทางเข้า-ออกโครงการ ของโครงการ, ประตูล็อกอัจริยะในบ้านทุกหลังปลดล็อกเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ระบบ CCTV และ รปภ.ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงรั้วโครงการที่ออกแบบให้สูงขึ้น เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากขึ้น


นอกจากนี้  โครงการมีการจัดสเปซส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่า เพื่อตอบรับทุกประโยชน์ของการใช้สอยในชีวิตจริง อาทิ ห้องออกกำลังกาย, สระว่ายน้ำระบบเกลือ ปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง, สนามเด็กเล่นและบ้านต้นไม้ เสริมสร้างพัฒนาการในวัยเด็ก, Pet Zone พื้นที่สำหรับคุณและสัตว์เลี้ยงแสนรักได้ทำกิจกรรมร่วมกัน, จุดจอดรถจักรยาน, จุดชาร์จรถไฟฟ้า EV Parking, ลู่วิ่งรอบสวน Jogging Track  และ ชาโตว์ คาเฟ่ ร้านกาแฟ ในโซนโซเซี่ยลคลับ พร้อมพื้นที่ Co-Working Area

ชาโตว์ วิลเลจ เวสต์เกต-บ้านกล้วย (Chateau Village Westgate - Baan Kluay) ใส่ใจสิ่งแวดล้อมโดยใช้สีทาบ้าน ที่สะท้อนความร้อน ช่วยให้บ้านเย็นขึ้น สะท้อนความร้อนได้สูงกว่า 95.5% ลดปัญหาความร้อนสะสม ทนทานต่อมลภาวะและสภาพอากาศ บนทำเลที่ให้คุณเชื่อมต่อเข้าในเมืองและออกนอกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งทางรถยนต์ ระบบขนส่งสาธารณะ MRT สายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่  ใกล้ถนนกาญจนาภิเษก จุดขึ้นลงทางด่วนพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก  และแหล่งช้อปปิ้งที่อยู่ไม่ห่างไกล ทั้ง โลตัส บางกรวย-ไทรน้อย, แมคโคร บางบัวทอง,บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า บางใหญ่, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ บางใหญ่ , เซ็นทรัล เวสต์เกต ,อีเกีย บางใหญ่ รวมไปถึงใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และโรงพยาบาลบางใหญ่

คุณอนงค์ลักษณ์กล่าวทิ้งท้าย "CMC มั่นใจสร้างสรรค์โดยคำนึงคุณภาพ การออกแบบ ดีไซน์ที่สอดรับกับฟังก์ชัน วัสดุ ความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวก ทำเลที่ตั้ง และใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จึงกำหนดราคาเริ่ม 2.39 ล้านบาท ซึ่งเป็นโซนด้านหน้าติดถนนเมนหลัก บ้านกล้วย-ไทรน้อย"

11
ซ่อมบำรุงอาคาร: การอบโอโซนภายในบ้าน เพื่อฆ่าเชื้อโรค

ความสะอาดและสุขอนามัยในครัวเรือน เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องคำนึงถึง เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่อยู่อาศัยและพักผ่อนของเรา และเป็นที่ที่เราอยู่ทุกวันจึงจำเป็นที่จะต้องมีความสะอาดอยู่เสมอ เพราะไม่อย่างนั้น จะทำให้สุขภาพของคนในบ้านไม่ดี เจ็บป่วยได้ง่าย เเต่การทำความสะอาดบ้านเเบบทั่วไป อาจไม่เพียงพอในการชำระและฆ่าเชื้อโรคที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในบ้าน
โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กอาจจะส่งผลเสียต่อตัวเด็กในได้อนาคต

ดังนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าบ้านจะปลอดภัยปราศจากเชื้อโรค เราก็ควรจะต้องกำจัดเจ้าตัวเชื้อโรคนี้ออกไป เราควรจะกำจัดเชื้อโรคภายในบ้านให้สะอาดและปลอดภัย ยิ่งในตอนนี้มีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นเชื้อที่กำลังระบาดและเป็นอันตรายมากในขณะนี้ ยิ่งคนเราออกไปทำงานนอกบ้าน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้เอาเชื้อโรคจากภายนอกเข้ามาในบ้านของเรา


ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ภายในบ้านปลอดเชื้อโรคได้นั้น ก็คือ การพ่นฆ่าเชื้อโรค หรือถ้าบ้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก ก็ควรที่จะอบโอโซนภายในบ้านเพื่อให้ทุกคนในบ้านได้ปลอดภัยจากเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในบ้านของเรา ดังนั้น วันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเรื่องของการอบโอโซนภายในบ้าน เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นตอของการเกิดปัญหาสุขภาพ
 
สำหรับการอบโอโซน ถือว่าเป็นนวัตกรรมการฆ่าเชื้ออย่างหนึ่ง โดยมนุษย์สามารถผลิตก๊าซโอโซนขึ้นมาเองได้ นอกจากที่มีอยู่เองตามธรรมชาติแล้ว และก็จะนำก๊าซโอโซนที่ได้มาอบฆ่าเชื้อ โดยที่โอโซนจะเข้าไปจับโมเลกุลของสารปนเปื้อนและทำการย่อยสลายและทำลายโดยการเปลี่ยนโครงสร้างของสารนั้น ทั้งนี้ โอโซนเป็นก๊าซที่มีโครงสร้างเสถียร ซึ่งหลังจากทำปฏิกิริยา โอโซนจะแปรสภาพกลับเป็นก๊าซออกซิเจน


จึงมั่นใจได้ว่าโอโซนจะไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบใด ๆ ต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม สำหรับคุณสมบัติในการขจัดเชื้อโรคนั้น เมื่อก๊าซโอโซนไปจับกับตัวเชื้อโรคจะเกิดการแตกตัวเป็น O + O2 และออกซิเจน อะตอมนี้เองที่จะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ ทำให้เชื้อโรคทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสลายไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่ทำการปล่อยโอโซนอบไว้ในห้อง 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าโอโซนจะเป็นรูปแบบหนึ่งของออกซิเจน และมีสภาพเป็นพิษเมื่อมีความเข้มข้นมากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลิตรในอากาศ


แต่เมื่อปิดเครื่องผลิตโอโซนและปล่อยห้องทิ้งไว้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โอโซนภายในห้องจะสลายจาก O3 เป็น O2 จึงรับรองว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยแน่นอน อย่างไรก็ตาม การอบโอโซน เหมาะสำหรับพื้นที่ปิดเท่านั้น แม้จะสามารถใช้กับสถานที่ที่คนพลุกพล่านได้ เช่น ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สำนักงาน แต่ตอนทำการอบฆ่าเชื้อ จะต้องนำคนและสิ่งมีชีวิตออกจากพื้นที่และหลังจากการอบฆ่าเชื้อแล้วเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมงค่อยเปิดใช้งานสถานที่ได้เป็นปกติ ถึงแม้ว่าจะทำการพ่นฆ่าเชื้อโรคแล้ว


เราก็ยังต้องดูแลรักษาความสะอาดในพื้นที่เป็นอย่างดี หากเป็นพื้นที่เปิดอาจมีการพ่นใช้ ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (H2O2) ควบคู่เพื่อให้มั่นใจ หมั่นทำความสะอาดพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ จึงจะสามารถป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ  รวมทั้งเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ข้อดีของการอบโอโวน ก็คือ ไม่มีสารตกค้าง จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาว ไม่จำเป็นต้องเก็บห้องเพื่อเตรียมอบโอโซน และยังสามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แถมมีราคาที่ไม่แพงด้วย แต่ทั้งนี้ การอบโอโซน ก็ไม่เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่

 
หากใครสนใจอยากจะทำการอบโอโซนหรือพ่นฆ่าเชื้อโรคภายในอาคารบ้านเรือน ก็สามารถปรึกษาทางเราได้ เพราะให้บริการ ทำความสะอาดในลักษณะงานที่หลากหลาย มีผู้เชี่ยวชาญด้านทำความสะอาดในด้านต่าง ๆ และสามารถออกแบบรูปแบบงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรนั้น ๆได้อย่างมืออาชีพ

นอกจากนี้ ทางเรายังให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในการเข้าดำเนินงาน โดยมีการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE การฝึกอบรมการทำงานภายใต้เงื่อนไข และข้อจำกัดในแต่ละองค์กรอย่างต่อเนื่อง ควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ทั้งนี้ ทางเรายังมีบริการ บริการทำความสะอาดภายใน ห้องพักผู้ป่วยและสำนักงาน ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง งานซักรีด ตัดแต่งสวนและภูมิทัศน์ บริการกำจัดแมลง เพื่อให้ลูกค้าได้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยจากเชื้อโรค เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขเมื่ออยู่ในบ้าน

12
บริหารจัดการอาคาร: ข้อควรระวังในการติดตั้งกล้องวงจรปิด

การติดกล้องวงจรปิด เพื่อตรวจดูทรัพย์สินหรือสถานที่ของเรานั้น ถือว่าได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถติดตั้งได้ง่าย แถมยังหาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพงอีกด้วย ซึ่งข้อดีหลักๆ ของการติดตั้งกล้องวงจรปิดเลยก็เพื่อป้องกันการเกิดการโจรกรรม เพราะเป็นตัวช่วยป้องกันการกระทำผิดได้ในเบื้องต้น หากมีกล้อวงจรปิดจับภาพอยู่อาจจะช่วยยับยั้งเหตุได้ ทั้งยัง ป้องกันเหตุร้ายในบ้านได้อีกด้วย


ยิ่งถ้าหากบ้านไหนมีเด็กหรือผู้สูงอายุ เวลาที่เราไม่อยู่บ้าน หรือหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ก็จะช่วยทำให้เราสามารถดูกล้องได้จากทุกที่ ซึ่งอาจช่วยให้เรารู้ตัวเร็วและระงับเหตุการณ์ร้ายๆ ได้ทันท่วงที ซึ่งถือว่าการติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้น จะช่วยสร้างความสบายใจให้กับเจ้าของทรัพย์สินได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อที่จะได้ความคุ้มค่าในการใช้งาน และดีต่อจุดมุ่งหมายของเราในการใช้ แต่ในขณะเดียวกัน การติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้น แม้จะมีประโยชน์ต่อทรัพย์สินของเรา แต่ก็ยังมีข้อเสียและข้อความระวังในการติดตั้งเช่นเดียวกัน ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของข้อควรระวังในการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับคนที่สนใจอยากจะติดตั้งกล้องวงจรปิด


ต้องที่จะติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้น สิ่งแรกที่ทึกคนจะต้องคำนึงก่อนก็คือเรื่องของปัญหาความเป็นส่วนตัว ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดอาจนำไปสู่ปัญหาการละเมิดความเป็นส่วนตัวได้ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องมุมกล้อง หากติดตั้งที่บริเวณบ้านตัวเองก็ควรติดในมุมที่ไม่ส่องไปยังบ้านของเพื่อนบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องมีเรื่องของรายจ่ายเพิ่มขึ้นมา เพราะการเลือกติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้น ไม่ได้จบเพียงแค่เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อกล้องและค่าช่างที่มาติดตั้งเพียงเท่านั้น เพราะถ้าหากกล้องเสียหรือมีปัญหาก็จะมีค่าซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าหากเราเลือกบริการของบริษัทที่รับติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มีบริการหลังการขายก็จะช่วยลดเรื่องค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้เพราะมีการรับประกันต่างๆได้


ซึ่งไม่ต้องมานั่งกังวลในปัญหาข้อนี้ และสำหรับข้อควรระวังในการติดตั้งกล้อง อันดับแรกเราจะต้องคำนึงถึงเรื่องของความปลอดภัยในทรัพย์สินของเรา แม้กระทั่งในขั้นตอนของการติดตั้งกล้อง เราจะต้องเลือกบริษัทรับติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ เพราะช่างที่ติดตั้งให้เรานั้นจะรู้รหัสผ่านในการเข้าดูกล้องวงจรปิดของเรา แม้ว่าเราก็สามารถเปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังให้ดีเช่นกัน และข้อควรระวังอีกประการหนึ่งก็คือ แม้ว่าเราจะเป็นเจ้าของกล้องวงจรปิดก็ตาม แต่เราก็ไม่สามารถนำภาพของบุคคลไปเผยแพร่ต่อที่สาธารณะได้ ถ้าหากภาพนั้นยังไม่ได้รับการยินยอมจากบุคคลที่อยู่ในภาพ

ซึ่งต้องระมัดระวังในเรื่องของการเกิดคดีความด้วย อย่างไรก็ตาม ในการเลือกติดตั้งกล้องวงจรปิด เราก็ต้องชั่งใจดูว่า มีข้อดี ข้อเสีย และข้อควรระวังอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจติดตั้งกล้องวงจรปิดได้พอสมควร แต่โดยรวมแล้วหากพิจารณาดีๆ การติดตั้งกล้องวงจรปิดล้วนเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคมรอบข้างอยู่ไม่น้อย เพราะจะช่วยให้ทรัพย์สินของเรามีความปลอดภัย แถมยังสร้างความสะดวกสบายใจ เวลาที่เราไม่ได้อยู่บ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ ติดตั้งในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้ทั่วถึงก็จะเป้นผลดีต่อทรัพย์สินของเราเอง

หากสนใจจะติดตั้งกล้องวงจรปิด สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้เพราะเราเป็นผู้ให้บริการในเรื่องของความปลอดภัยของอาคารบ้านเรือน มีบริการติดตั้งระบบต่างๆภายในที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้าต้นกำลังและระบบจ่ายไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบสุขาภิบาล และระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ ระบบงานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง และระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด แถมยังสามารถวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกันที่เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ผลการบริหารจัดการของอาคารที่มีประสิทธิภาพ และอยู่ในงบประมาณที่สมเหตุสมผล ภายใต้ความปลอดภัยเพื่อให้ลูกค้ามีความสบายใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด แถมยังมีบริการดูแล ซ่อมบำรุงให้ตามระยะเวลาที่กำหนดอีกด้วย


13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



14
ขายรถไมล์น้อย Mitsubishi XPander Cross ปี2023 ราคาพิเศษ ประหยัดน้ำมัน

มิตซูบิชิ Mitsubishi Xpander Cross ปี 2023
Mitsubishi Xpander Cross รถยนต์เอสยูวี 7 ที่นั่ง โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ใหม่สไตล์โฉบเฉี่ยว สะท้อนความหรูหราผสานดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่ และผู้ขับขี่ที่รักการผจญภัยและออกทริปเอาท์ดอร์ ด้วยฟังก์ชั่นระบบการขับขี่สุดล้ำสมัยที่เหนือกว่ารถในรุ่นเดียวกัน อย่างเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ “เอวายซี” (Active Yaw Control: AYC) ให้ความปลอดภัย เสถียรภาพการทรงตัว และความสะดวกสบายสูงสุด ในหลากหลายสภาพถนนและสภาพอากาศที่แตกต่าง มากับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ MIVEC DOHC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ ECO-Dynamic CVT ตอบสนองการทำงานกับเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 1 พ.ย. - 31 ธ.ค. 2567
ฟรี ประกันหลังการขาย เครื่อง เกียร์ (ส่งซ่อมห้าง) 1 ปี / 10,000 กม.
ฟรี บริการเซ็นเอกสารจัดไฟแนนซ์ถึงบ้านทั่วไทย

ราคาพิเศษ 628,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                 Mitsubishi
   รุ่น                          มิตซูบิชิ Mitsubishi Xpander Cross ปี 2023
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ MPV
   ปีที่เปิดตัว          2023


15
จัดฟันบางนา: การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฟอกสีฟัน

สำหรับวันนี้คลินิกเรา จะมาแนะนำการเตรียมตัว ก่อนเข้ารับการฟอกสีฟันและสิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มทำการฟอกสีฟัน ในข้อแรกผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง เพราะการฟอกสีฟัน หากผู้เข้ารับการรักษามีรูปแบบหรือปัญหาอื่นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอาจทำให้เกิดอาการเจ็บและปัญหาอื่น ๆตามมา ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากการฟอกสีฟันมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ผลกับฟันที่เสียหาย ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของฟันเพราะใน 24 ชั่วโมง หลังจากที่ฟันของผู้เข้ารับการรักษาได้รับการสัมผัสกับน้ำยาฟอกสีฟันผู้เข้ารับการรักษาสามารถใช้ยาแก้ปวดได้ เพื่อบรรเทาอาการปวดและอาการเสียวฟัน ภายหลังจากการฟอกสีฟันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผลของการฟอกสีฟัน จะไม่ได้อยู่ถาวร

เนื่องจากผลลัพธ์ส่วนใหญ่อยู่ได้ตั้งแต่ 6เดือน-2 ปี ขึ้นอยู่กับว่าสภาพฟันของผู้เข้ารับการรักษาเป็นคราบง่ายมากแค่ไหน รวมไปถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารด้วย นอกจากนี้ผู้เข้ารับการรักษาควรค้นคว้าศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับการฟอกสีฟันอย่างละเอียด เพื่อให้การฟอกสีฟันนั้นเหมาะสมกับสภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการรักษา อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาแน่นอนว่า ในปัจจุบันมีตัวเลือกมากมายในการฟอกสีฟันไม่ว่าจะเป็นน้ำยาชนิดยี่ห้อต่าง ๆ แต่หากใครต้องการที่จะได้ผลที่ชัดเจนก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นโดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการฟอกสีฟันที่จะทำให้เห็นผลในทันที เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายตามมาที่ค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ตามหลายคนคงเคยมีปัญหาและมีข้อสงสัยว่า หากเรามีฟันผุและต้องการเข้ารับการฟอกสีฟันสามารถทำได้หรือไม่ ต้องบอกก่อนว่าในกรณีดังกล่าวทันตแพทย์จะต้องทำการตรวจดูตำแหน่งที่ฟันก่อน ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ผุอยู่ด้านในของฟัน สามารถเข้ารับการฟอกสีฟันได้และแต่จะแนะนำให้มาอุดฟันหลังฟอกสีฟันเสร็จ เพื่อที่จะได้เลือกสีฟันให้เข้ากับสีฟันที่ขาวขึ้นแล้ว และคำถามที่ว่าหากอยู่ในระหว่างการจัดฟันสามารถฟอกสีฟันได้หรือไม่ หากผู้เข้ารับการรักษาใส่ชุดเครื่องมือการจัดการแบบติดแน่น ยกตัวอย่างคือ หากผู้เข้ารับการรักษามีเครื่องมือการจัดฟัน

หากใส่เครื่องมือการจัดหันอยู่จะทำการฟอกสีฟันไม่ได้ หากใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ในกรณีนี้สามารถฟอกสีฟันได้ แต่ก็ไม่แนะ เพราะวิธีที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดก็คือให้ฟอกสีฟันหลังถอดเครื่องมือจัดฟันทุกชนิดออกเรียบร้อยแล้ว เพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จทั้งนี้หากคุณสนใจเข้ารับการฟอกสีฟันสามารถปรึกษาและขอคำแนะนำได้จากทีมทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เนื่องจากเรามีการบริการทางด้านทันตกรรมที่ครบวงจรและได้รับการรองรับจากสถาบันต่าง ๆมากมาย จึงทำให้มั่นใจได้ว่าหากคุณใช้บริการกับทางคลินิกจะทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 40